ดีอีเอส ออกโรงโต้เพจเฟซบุ๊กทำภาพเปรียบเทียบ รพ.สนามบุษราคัม กับ โรงพยาบาลสนามพิมรี่พาย ชี้ภาพดังกล่าวมีการบิดเบือง มีเป้าหมาสยสร้างความแตกแยก นาย ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้กล่าวถึงกรณีที่มีเพจเฟซบุ๊กได้ทำภาพเปรียบเทียบการใช้งบประมาณในการสร้างโรงพยาบาลสนามของรัฐบาลและของ พิมรี่พาย เน็ตไอด้อลชื่อดัง
ทั้งนี้เพจดังกล่าวได้ระบุว่า รพ.สนามบุษราคัม ใช้งบประมาณ 239,280,000 บาท
รองรับได้ 1,092 เตียง งบเตียงละ 220,000 บาท เปรียบเทียบรพ.สนามของพิมรี่พาย ใช้งบประมาณ 170,000 บาท แต่ได้ถึง 50 เตียง งบเตียงละ 3,400 บาท และหลังจากที่ภาพได้รับการเผยแพร่ออกไปก็ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ตรวจสอบพบว่ามีความพยายามเชื่อมโยงให้เกิดความเข้าใจผิดถึงการดำเนินการจัดตั้งรพ.สนามของรัฐบาลหรือไม่ ซึ่งภาครัฐ และภาคเอกชน ต่างมีความตั้งใจดีเพื่อให้ประเทศพ้นวิกฤตโดยเร็ว แต่กลับมีขบวนการที่ไม่หวังดี นำมาเปรียบเทียบ บิดเบือน เพื่อต้องการให้เกิดความแตกแยกขัดแย้ง
นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ส่วนรพ.สนามบุษราคัม จัดตั้งในลักษณะรพ.ถาวร ที่มีมาตรฐานพร้อมทางการแพทย์ มีอุปกรณ์เครื่องมือดูแลผู้ติดเชื้อ มีระบบการดูแลความปลอดภัย มีเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์จากหลายจังหวัดจำนวนมาก หมุนเวียนเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุข สามารถชี้แจงรายละเอียดหรืองบประมาณได้ทั้งหมด
อีกทั้งภาพที่มีการแชร์เปรียบเทียบในขณะนี้ก็เป็นภาพเก่า ช่วงที่มีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับกลุ่มเสี่ยงเพื่อสังเกตอาการ และเป็นการจัดตั้งในภาวะฉุกเฉิน ก่อนที่จะมีการปรับปรุงให้ได้มาตรฐานในภายหลัง
“ในช่วงที่ทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจกันเอาชนะโควิด-19 แต่กลับมีผู้ไม่ประสงค์ดีต้องการสร้างความสับสนให้เกิดขึ้นในสังคม ทางกระทรวงฯ ได้ติดตามความเคลื่อนไหวเหล่านี้มาโดยตลอด ขอให้ผู้ที่เป็นต้นตอหรือมีส่วนกับการนำเสนอข้อมูลดังกล่าวดำเนินการลบโพสต์โดยด่วน และชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องให้สังคมรับทราบ มิเช่นนั้น กระทรวงดีอีเอส อาจต้องดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ต่อไป” รมว.ชัยวุฒิ
ขณะเดียวกันนายชัยวุฒิยังได้กล่าวถึงพิมรี่พายด้วยว่า การนำเงินส่วนตัวมาสร้างโรงพยาบาลสนาม เป็นสิ่งดีที่ได้เสียสละช่วยประชาชนในยามลำบาก รัฐบาลก็ต้องขอบคุณถึงความตั้งใจอันดี ที่ร่วมช่วยกันคนละเล็กคนละน้อยตามกำลังหรือความสามารถที่พอจะช่วยได้
รุ้ง-ปนัสยา แฉพบผู้ติดเชื้อ โควิดเรือนจำ นับร้อย สวนทางแถลงราชทัณฑ์
นส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง ได้โพสต์ข้อความเฟซบุ๊กกดดัน กรมราชทัณฑ์ หลังจากเธอได้ทราบจากบุคคลที่ไม่ออกนามที่เล่าว่าถึงสภาพในเรือนจำที่ระบุว่า มีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้วร่วม 100 ราย โดยผู้ต้องขังที่ได้รับเชื้อนั้นอยู่ที่เรือนนอนทับทิม ซึ่งขัดแย้งกับแถลงจากกรมราชทัณฑ์ล่าสุดบอกว่าไม่มีผู้ติดเชื้อในแดนแรกรับ
โดยเธอระบุว่า “แหล่งข่าวให้ข้อมูลว่า ก่อนที่เธอจะถูกปล่อยตัวออกมาจากทัณฑสถานหญิงกลาง เธอและผู้ต้องขังคนอื่นๆ ได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ผลออกวันที่ 9 พฤษภาคม และพบว่าผู้ต้องขังที่อยู่ห้องเดียวกันกับเธอคือเรือนนอนทับทิมห้อง 3 มีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 7 ราย และทุกห้องของเรือนนอนทับทิมมีผู้ที่ติดเชื้ออยู่ในทุกห้อง
โดยผู้ที่ติดเชื้อถูกเรียกตัวแยกออกมาจากคนอื่นช่วงเวลาประมาณ 4 ทุ่มของวันที่ 9 พฤษภาคม และมากไปกว่านั้น สถานการณ์ในแดนแรกรับตอนนี้ผู้ต้องขังไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้ ถูกขังไว้แค่ในห้องเท่านั้น จะได้ออกมานอกห้องแค่ตอนที่อาบน้ำเช้า-เย็น และตอนนี้ผู้ต้องขังมีอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากแผนกสูทกรรม (ผู้ต้องขัง/นักโทษที่มีหน้าที่ทำอาหารเลี้ยงคนทั้งคุก) ติดโควิดเป็นจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถทำอาหารจำนวนมากได้เท่าเดิม
จากข้อมูลดังกล่าวที่หนูได้รับมานี้ หนูขอตั้งคำถามไปยังกรมราชทัณฑ์ว่า ข้อมูลเหล่านี้เป็นความจริงหรือไม่ หากเป็นจริง หนูขอตั้งคำถามอีกข้อว่า พวกคุณมีแผนที่จะดูแลผู้ต้องขังและนักโทษในสถานการณ์แบบนี้อย่างไร และขอให้ทางกรมราชทัณฑ์ออกมาพูดความจริง โดยไม่ปิดบังข้อมูลแม้แต่เพียงเสี้ยว เพื่อความโปร่งใสของกรมราชทัณฑ์เองค่ะ”
ผมขอเน้นย้ำว่าในวันนี้ การฉีดวัคซีน เป็น “วาระแห่งชาติ” ที่จะต้องเร่งดำเนินการ เพื่อให้ทุกอย่างขับเคลื่อนต่อไปได้ นโยบายของผม คือเราต้องเดินหน้าปูพรมฉีดวัคซีนเข็มแรกให้เร็ว และให้ถึงประชาชนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากได้รับความความเห็นของประชาชนจำนวนมาก ผมจึงได้ตัดสินใจว่า เราจะไม่รอให้คนวัยใดวัยหนึ่ง กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ได้รับวัคซีนจนครบก่อน จึงค่อย เปิดให้คนกลุ่มอื่นๆได้รับวัคซีน แต่เราจะปรับแผนการเดินหน้าประเทศ ด้วยการเปิดโอกาสให้ทุกคนที่พร้อมฉีดวัคซีน ไม่ว่าจะเป็นวัยใด เข้าถึงวัคซีนได้ โดยเฉพาะวัยทำงาน เพื่อปกป้องคนทำมาหากิน คนที่เป็นกำลังหลักในการหาเลี้ยงคนในบ้าน ให้ออกจากบ้านไปทำงาน ทำมาหาเลี้ยงชีพ และเดินหน้าชีวิตกันต่อไปได้
แนะนำ : รีวิวหนังไทย | คู่มือพ่อแม่มือใหม่ | แม่และเด็ก | เรื่องผี | แคคตัส กระบองเพชร